UFABETWINS ก้าวหรือถอย? แบรนด์ระดับโลกมีท่าทีต่อการแสดงความเห็นทางการเมืองของนักกีฬาแบบไหน

UFABETWINS

UFABETWINS ถึงจะมีหลายเสียงในสังคมที่พยายามจะบอกว่า “การเมืองไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับกีฬา” หรือ “นักกีฬาไม่สมควรที่จะแสดงออกทางการเมือง”

ทว่าในความเป็นจริงอย่าว่าแต่กีฬาเลย เพียงแค่เดินทางออกมานอกบ้านแล้วเจอถนนหนทางที่ชำรุด นั่นก็คือเรื่องของการเมืองแล้ว แปลกแต่จริง การเมืองคือสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์ทุกคนในแทบจะทุกมิติของชีวิต แต่การออกมาพูดถึงมันในพื้นที่สาธารณะกลับเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตราย และมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบถึงหน้าที่การงานเสียอย่างนั้น โดยเฉพาะบุคคลสาธารณะ ที่มีอิทธิพลต่อผู้คนในวงกว้าง บรรดานักกีฬาดังก็เป็นบุคคลสาธารณะเช่นกัน

ในยุคปัจจุบันพวกเขามีอิทธิพลไม่ต่างจากดาราเสียด้วยซ้ำ โดยนอกจากค่าจ้างที่พวกเขาได้รับจากต้นสังกัดแล้ว อีกหนึ่งช่องทางรายได้หลักคือสปอนเซอร์จากแบรนด์ดังระดับโลกต่าง ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อการแสดงความเห็นทางการเมืองกลายเป็นเรื่องอันตราย ดังนั้นทุกครั้งที่นักกีฬาออกมากล่าวถึงประเด็นนี้ แบรนด์ผู้สนับสนุนเหล่านั้นก็ย่อมต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองเช่นกัน แบรนด์ระดับโลกมีท่าทีต่อการแสดงความเห็น

ทางการเมืองของนักกีฬาอย่างไร บุคคลสาธารณะ นักกีฬา และราคาที่ต้องจ่าย การที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นักฟุตบอลเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 5 สมัยคือบุคคลที่มีผู้ติดตามทางโซเชี่ยลมีเดียมากที่สุดในโลก เพียงเท่านี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่า ณ ปัจจุบันนักกีฬามีอิทธิพลต่อผู้คนมากแค่ไหน ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่านักกีฬานี่แหละคือบุคคลสาธารณะตัวจริงเสียงจริง ไม่ต่างจากดาราหรือศิลปินซูเปอร์สตาร์เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขามักจะถูกคาดหวัง

จากสังคมให้เป็นกระบอกเสียงในเรื่องต่าง ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนในวงกว้างมากที่สุด เพราะชื่อเสียงของพวกเขานั้นสามารถทำให้เรื่องราวที่พูดได้รับความสนใจได้มากกว่าบุคคลทั่วไป แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เรื่องการเมืองคือเรื่องที่ละเอียดอ่อน การพูดถึงเรื่องการเมืองมักจะมีราคาที่ต้องจ่ายตามมาเสมอ และยิ่งเป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียงมากเท่าไร ราคาที่พวกเขาต้องจ่ายสำหรับการแสดงออกก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

UFABETWINS

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่จะต้องมีความระมัดระวังอย่างมากในประเด็นนี้ เพราะความเดือดร้อนอาจมาถึงตัวได้ทุกเมื่อ ไมเคิล จอร์แดน คือหนึ่งในนักกีฬาที่ทรงอิทธิพลและมีชื่อเสียงมากที่สุดตลอดกาลคนหนึ่ง แต่เมื่อลองค้นหาข้อมูลกลับพบว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาแทบไม่เคยแสดงความเห็นในประเด็นการเมืองเลย โดยเขาให้เหตุผลไว้ว่า “แฟน ๆ ของผมมีอยู่ในทุกกลุ่มสังคม” เป็นคำพูดเพียงสั้น ๆ แต่ก็สื่อความหมายได้ชัดเจนว่า ถ้าเขาแสดงความคิดเห็น

เอนเอียงไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เขาก็อาจจะสูญเสียแฟนคลับที่มีจุดยืนอยู่อีกฝั่งไป แม้แต่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ IOC ก็ดูจะกังวลในประเด็นนี้เช่นเดียวกัน โดยเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2019 พวกเขาได้ออกข้อบังคับในกฎบัตรโอลิมปิก ให้หลีกเลี่ยงการแสดงออก ที่อาจสื่อถึงการประท้วงทางการเมือง เพื่อนำมาใช้ในการจัดการแข่งขันโอลิมปิก เกมส์ ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยเนื้อหาของข้อบังคับที่มีความยาว 3 หน้ากระดาษมีเนื้อหาโดยย่อว่า ห้ามนักกีฬาที่ร่วมการ

แข่งขันคุกเข่าประท้วง แสดงสัญลักษณ์มือที่ส่อความหมายไปในทางการเมือง หรือสวมเครื่องแต่งกายหรือปลอกแขนที่มีสัญลักษณ์การเมืองในสนามแข่งขัน บนสแตนด์เชียร์ ในหมู่บ้านนักกีฬา และรวมถึงการแสดงออกในพิธีมอบเหรียญด้วย อย่างไรก็ตาม นักกีฬาสามารถแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในโซเชียลมีเดียของตัวเองหรือในสื่อทางการได้ โดยสามารถให้สัมภาษณ์สื่อได้ ซึ่งรวมถึงในงานแถลงข่าว และในพื้นที่ที่นักกีฬาพบปะกับสื่อมวลชนหลังการแข่งขัน

โดยนักกีฬาที่ฝ่าฝืนกฎดังกล่าวในโอลิมปิกครั้งนี้จะได้รับบทลงโทษจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ซึ่งจะประเมินและพิจารณาโทษเป็นกรณี ๆ ไป โธมัส บาค ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากลกล่าวว่า ภารกิจของโอลิมปิกก็เพื่อรวมให้เป็นหนึ่งและไม่แบ่งแยก เราเป็นงานเดียวในโลกที่รวมทั่วโลกเข้าด้วยกันในการแข่งขันอย่างสันติ “ผมขอให้พวกเขา (นักการเมืองและนักกีฬา) เคารพภารกิจของการแข่งขันโอลิมปิก และเพื่อที่จะให้ภารกิจนี้สำเร็จ เราต้องเป็นกลางทาง

การเมือง มิเช่นนั้นเราจะจบด้วยการแบ่งแยกและการคว่ำบาตร ผมขอให้พวกเขาเคารพความเป็นกลางทางการเมือง ด้วยการไม่ใช้โอลิมปิกเป็นเวทีแสดงออกที่มีจุดประสงค์ทางการเมือง” แต่ถึงแม้ผู้คนในวงการจำนวนมากจะพยายามปฏิเสธถึงความมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ในความเป็นจริงแล้ว กีฬา กับ การเมือง ถือเป็นสองสิ่งซึ่งมีความเกี่ยวพันกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง โดยแนวคิดเชิงสังคมวิทยาระบุว่า “สังคม” เป็นองค์ประกอบใหญ่ และการเมืองกับกีฬาก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ด้วยเหตุนี้ทุกอย่างย่อมมีความเกี่ยวเนื่องกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีนักกีฬาจำนวนไม่น้อยยอมจ่ายราคาแสนแพง เพื่อแลกกับการได้แสดงออกทาง

การเมืองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เบื้องหน้าคือนักกีฬา เบื้องหลังคือมนุษย์ เลบรอน เจมส์ ยอดนักกีฬาบาสเกตบอลแห่งยุค สังกัดทีม ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส คือหนึ่งในนักกีฬาที่ออกมาแสดงความเห็นการเมืองบ่อยครั้งที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมเพื่อคนผิวดำ การโจมตี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน หรือแม้แต่ประเด็นที่อยู่ห่างไกลออกไปคนละซีกโลก อย่างการประท้วงที่ฮ่องกง เขาก็ไม่มองข้าม

และแม้จะโดนนักข่าวตำหนิ แต่เจ้าตัวก็ยืนยันว่าจะไม่เป็นเพียงนักกีฬาที่ทำเพียงแค่เล่นกีฬาเฉย ๆ อย่างแน่นอน “ผมรู้สึกว่าการไม่ทำอะไรเลยถือเป็นความผิดที่ผมจะมีให้กับสังคมและเด็ก ๆ เพราะหลายครั้งพวกเขาก็ไม่อาจหาทางออกได้ด้วยตัวเอง และต้องการความช่วยเหลือให้ออกจากสถานการณ์เลวร้ายนั้น ๆ ได้ เราทุกคนต่างรู้ว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องของเรา แต่มันยิ่งใหญ่กว่านั้น ฉะนั้นถ้าสิ่งที่ผมพูดหรือทำจะทำให้สังคมดีขึ้น แน่นอน ผมจะทำ”

เจมส์ กล่าว ความคิดของ เจมส์ ดูจะสอดคล้องกับ ดอนเต สตอลเวิร์ธ อดีตปีกนอกมากประสบการณ์จากหลายทีมในศึก เอ็นเอฟแอล ที่มองว่า นักกีฬาไม่ควรเป็นแค่เพียงนักกีฬาเท่านั้น เมื่อเสียงของพวกเขาสามารถเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ “ลองดูนักการเมืองหลายคน อย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ก็เคยเป็นคนดังจากรายการเรียลลิตี้ โรนัลด์ เรแกน ก็เคยเป็นดารา นี่แหละผมถึงได้บอกว่า นักกีฬาก็ควรเป็นคนที่จะต้องเป็นแบบอย่าง

UFABETWINS

และผู้นำของสังคมในด้านต่าง ๆ รวมถึงด้านการเมืองด้วยเช่นกัน” สตอลเวิร์ธ กล่าว นักชู้ตจากทีม โกลเด้น สเตท วอร์ริเออร์ส ในศึก เอ็นบีเอ ที่เป็นหัวหอกนำทีมปฏิเสธการไปฉลองแชมป์ที่ทำเนียบขาว อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของทีมกีฬาในสหรัฐอเมริกา เมื่อครั้งที่เขาพาทีมคว้าแชมป์เมื่อปี 2017 และ 2018 เช่นเดียวกับ ทอม เบรดี้ ตำนานนักอเมริกันฟุตบอล พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมอีกจำนวนหนึ่งก็เคยปฏิเสธการไปฉลองที่ทำเนียบขาวเช่นกัน เมื่อครั้งที่

นิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ คว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์เมื่อปี 2017 และ 2019 ทั้ง ๆ ที่รู้กันในหมู่ชาวอเมริกันว่า เขามีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 หรือในครั้งอดีตก็เคยมีเหตุการณ์ที่ มูฮัมหมัด อาลี หนึ่งในนักมวยที่ดีที่สุดตลอดกาล ปฏิเสธการไปรบที่สงครามเวียดนามด้วยเหตุผลว่า “ผมไม่ได้มีความแค้นอะไรกับพวกเวียดกง” จนกลายเป็นตำนาน และถึงขั้นติดคุกมาแล้ว การทำสัญลักษณ์ ที่ ทอมมี่ สมิธ และ จอห์น คาร์ลอส สองนักวิ่ง

อเมริกันทำเพื่อเรียกร้องสิทธิคนผิวดำระหว่างการรับเหรียญรางวัลวิ่ง 200 เมตรในโอลิมปิกปี 1968 ที่กรุงเม็กซิโก ซิตี้ ก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน อย่างไรก็ตาม หนึ่งในเหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจและเข้ากับยุคสมัยปัจจุบันที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของ โคลิน แคเปอร์นิค อดีตนักอเมริกันฟุตบอล ตำแหน่งควอเตอร์แบค ของทีม ซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนเนอร์ส โดยในช่วงพรีซีซั่นฤดูกาล 2016 สื่อทั่วสหรัฐอเมริกาต่างก็หันมาจับจ้องที่ แคเปอร์นิค เมื่อควอเตอร์แบ็ครายนี้เลือกนั่งอยู่เฉย

ๆ ไม่ยืนเคารพธงชาติสหรัฐอเมริกา ที่บรรเลงก่อนเกมการแข่งขันจะเริ่มขึ้น แคเปอร์นิค ไม่ได้แสดงพฤติกรรมนี้โดยไร้เหตุผล แต่เขาทำเพื่อประท้วงพฤติกรรมเหยียดผิว ที่กำลังรุนแรงในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขามองว่า ในฐานะคนมีหน้ามีตาทางสังคม อีกทั้งเขายังเป็นลูกครึ่งทางสีผิว (คุณพ่อเป็นคนอเมริกันผิวดำเชื้อสายแอฟริกัน ขณะที่คุณแม่เป็นคนผิวขาว แต่เติบโตกับครอบครัวอุปถัมภ์ผิวขาว) เขาควรจะทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้คนอเมริกันตื่นตัวกับปัญหาที่เกิดขึ้น

“ผมไม่ยืนเคารพธงชาติ เพราะผมไม่ภูมิใจกับประเทศที่กดขี่คนผิวดำ หรือสีผิวอื่น สำหรับผม เรื่องนี้สำคัญกว่ากีฬา ผมคงเห็นแก่ตัวมาก ถ้าผมไม่ทำในสิ่งที่ผมกระทำ” แคเปอร์นิค กล่าวหลังจบเกมปรีซีซั่น นัดแรกของฤดูกาล 2016 แคเปอร์นิค ยืนยันว่าเขาจะไม่ทำการยืนเคารพธงชาติสหรัฐฯ อีกต่อไปในฐานะผู้เล่น เอ็นเอฟแอล จนกว่าประเทศนี้ จะปฏิบัติตัวให้สมกับชาติที่เขาภูมิใจ ด้วยการให้ความเคารพกับคนทุกสีผิวอย่างเท่าเทียม เกมพรีซีซั่นนัดสุดท้ายของฤดูกาล

2016 แคเปอร์นิค ยกระดับการเรียกร้องของตัวเอง จากที่นั่งเฉย ๆ เขาเปลี่ยนมานั่งคุกเข่าขณะเคารพธงชาติ เพื่อสร้างสัญลักษณ์ในการต่อสู้ เรียกร้องความเท่าเทียมด้านสีผิว เพราะไม่กี่วันก่อนหน้านั้นมีชายผิวดำ 2 คน ถูกตำรวจยิงระหว่างที่ตำรวจกำลังจะจับกุมหนุ่มทั้ง 2 ที่ภายหลังได้รับการสอบสวนว่าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย “นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม การเรียกร้องของผม ไม่ได้เป็นการทำร้ายใคร ผมไม่สนใจว่าใครจะเห็นด้วยไหม แต่นี่คือสิ่งที่ต้อง

ทำ เพื่อต่อสู้ให้คนที่ถูกกดขี่ ผมรู้ว่ากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง ต่อให้พวกเขาจะพรากอาชีพนักอเมริกันฟุตบอลไปจากผม” ไม่ใช่แค่วงการกีฬาประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่นักกีฬาจากทั่วทุกมุมโลกก็มีจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เช่น เมซุต โอซิล ซูเปอร์สตาร์ก้นด้าน

จากสโมสร อาร์เซน่อล ที่ถือเป็นหนึ่งในคนที่มีประเด็นในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปคู่กับ เรจิป ทายิป เออร์โดอาน ประธานาธิบดีตุรกี หรือการตำหนิประเทศจีนที่ปฏิบัติกับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์อย่างไม่เป็นธรรม จนแผ่นดินมังกรถึงขั้นแบนการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลของทีมปืนใหญ่ไปชั่วระยะหนึ่ง

 

คลิ๊กเลย >>>  https://www.ufabetwins.com/

อ่านข่าวเพิ่ม >>>  บ้านผลบอล